บริหารเวลาทำงาน

เทคนิคบริหารเวลางานให้มีประสิทธิภาพแบบฉบับคนเยอรมัน

เทคนิคบริหารเวลางานให้มีประสิทธิภาพแบบฉบับคนเยอรมัน

การบริหารเวลาอย่างมีประสิทธิภาพถือเป็นหนทางหนึ่งในการดำเนินชีวิตให้ประสบความสำเร็จ เพราะอย่าลืมว่าแต่ละคนมีเวลาเท่ากัน นั่นคือวันละ 24 ชั่วโมง ใครบริหารเวลาได้ดีกว่าถือว่าได้เปรียบ เพราะสามารถจัดการตารางชีวิตได้ดีกว่า โดยเฉพาะด้านการทำงาน เพราะในหนึ่งสัปดาห์ต้องทำงานมากถึง 5 วัน และนอกจากคนประเทศญี่ปุ่นแล้ว คนเยอรมันยังขึ้นชื่อว่าสามารถบริหารเวลาทำงานได้อย่างดีเยี่ยม จนมีชั่วโมงทำงานเพียงวันละ 7 ชั่วโมง โดยไม่ต้องอยู่ทำงานดึกดื่น และยังสามารถลางานได้ครั้งละเป็นเดือนเลยทีเดียว

เทคนิคบริหารเวลาตามแบบฉบับคนเยอรมัน

1. ให้ความสำคัญกับชั่วโมงทำงาน
ไม่เพียงแต่ชาวญี่ปุ่นเท่านั้นที่ให้ความสำคัญเรื่องเวลาโดยเฉพาะในชั่วโมงทำงาน เพราะคนเยอรมันเองก็ให้ความสำคัญเรื่องนี้ไม่แพ้กัน โดยในเวลาทำงานจะโฟกัสไปที่การทำงานอย่างจริงจัง น้อยมากที่จะเสียเวลาไปกับการคุยเรื่องส่วนตัวกับเพื่อนร่วมงาน หรือแม้แต่การเดินไปชงกาแฟ อีกทั้งสไตล์การทำงานของคนเยอรมันจะเน้นการทำงานแบบคนเดียว แต่ละคนมักมีหน้าที่ชัดเจนทำให้ไม่ต้องประชุมงานบ่อย ๆ และยังมองว่าการประชุมบ่อยครั้งเกินไปและนานเกินไปจะทำให้ไม่มีสมาธิจดจ่อต่องานที่ตนเองได้รับมอบหมาย

2. อะไรคือตัวขโมยชั่วโมงทำงานของคุณ
เมื่อใดที่รู้สึกว่าทำงานออกมาได้ไม่เต็มที่ หรือสะสางงานได้น้อยกว่าที่ตั้งเป้าหมายไว้ ชาวเยอรมันมักค้นหาคำตอบว่าอะไรคือสิ่งที่ขโมยเวลาทำงานไป เช่น การหันไปคุยเรื่องส่วนตัวกับเพื่อนร่วมงานนานเกินไป การใช้เวลาไปกับการติดตามโซเชียลมีเดียนานเกินไปโดยไม่รู้ตัว ฯลฯ ซึ่งคนทำงานมืออาชีพจะค้นหาคำตอบโดยการลิสต์สิ่งที่ขโมยเวลาทำงานในแต่ละวันแล้วลดหรือเลิกพฤติกรรมเหล่านั้นเพื่อให้สามารถจัดการงานได้ตามที่ตั้งเป้าเอาไว้

3. แบ่งเวลาสำหรับการพักผ่อน
แม้ชาวเยอรมันจะค่อนข้างให้ความสำคัญกับชั่วโมงทำงาน แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ละเลยเรื่องการสังสรรค์ ปล่อยให้ร่างกายและจิตใจได้พักผ่อนตามโอกาส เรียกได้ว่าเวลาทำงานก็ทำอย่างเต็มที่และเวลาพักผ่อนก็พักผ่อนอย่างเต็มที่เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น การลาพักร้อนติดต่อกันเป็นเวลาหลายสัปดาห์ แต่ยังเป็นประเทศที่เศรษฐกิจแข็งแกร่งประเทศหนึ่งของโลก การนัดพบกลุ่มเพื่อนไลฟ์สไตล์เดียวกัน เช่น การนัดปีนเขาทุกวันเสาร์-อาทิตย์ การนัดปาร์ตี้หลังเลิกงาน เป็นต้น

การบริหารจัดการเวลาได้อย่างดีเยี่ยมโดยเฉพาะในชั่วโมงทำงาน ทำให้ชาวเยอรมันมีชั่วโมงทำงานน้อยกว่าประเทศยักษ์ใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกามากถึง 300 ชั่วโมงต่อปี จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่คนประเทศเยอรมันสามารถลาพักร้อนต่อเนื่องได้ถึง 4-6 สัปดาห์ แต่ยังสามารถจัดการเรื่องงานได้อย่างดีเยี่ยม เพราะฉะนั้นใครที่รู้ตัวว่าตารางชีวิตค่อนข้างยุ่ง อย่าลืมนำเทคนิคบริหารเวลาเหล่านี้ไปใช้เพื่อการบริหารจัดการเวลาชีวิตได้ดียิ่งขึ้น

 

เรื่องของเวลา

บริหารเวลาอย่างไร ให้ใช้เวลาอย่างมีประสิทธิภาพ

บริหารเวลาอย่างไร ให้ใช้เวลาอย่างมีประสิทธิภาพ

คนเรามีเวลาชีวิตที่เท่ากันคือ 24 ชั่วโมงใน 1 วันหรือ 365 วันใน 1 ปี ทว่าทุกวันนี้ก็คงยังได้ยินเสียงบ่นกันอยู่ว่าทำงานไม่ทันบ้างล่ะ เวลาน้อยไปบ้างล่ะ ไม่ก็ไม่มีเวลาบ้างล่ะ คนที่เอาแต่บ่นเช่นนี้ไม่รู้ว่าเคยหันไปมองรอบตัวบ้างหรือไม่ว่าเพราะอะไรเขาถึงไม่ได้รู้สึกเหมือนอย่างเรา คำตอบง่าย ๆ คือ คน ๆ นั้นฉลาดพอที่จะบริหารเวลา 24 ชั่วโมงใน 1 วันให้มีประสิทธิภาพ ดังนั้นวันนี้เราจะมาแจกเทคนิคของการบริหารเวลาอย่างมีประสิทธิภาพกัน

เพื่อทำให้เวลาชีวิตของเรามีคุณภาพมากยิ่งขึ้น การบริหารเวลาอย่างมีประสิทธิภาพจึงถือเป็นตัวช่วยที่ดีที่จะทำให้ใน 1 วันของเรา หรือเรียกง่าย ๆ ว่าควรทำให้ชีวิตมี Work and Life Balance นั่นเอง ซึ่งการบริหารเวลาให้มีประสิทธิภาพสามารถทำได้ด้วยวิธีการดังนี้

  • ตื่นนอนแต่เช้า เพราะการตื่นนอนก่อนใครทำให้เรามีเวลาในการทำกิจกรรมต่าง ๆ มากกว่าคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นการอาบน้ำแต่งตัวเตรียมไปทำงาน ได้อ่านหนังสือผ่อนคลายก่อนออกจากบ้าน หรือไม่ต้องใช้เวลาอยู่บนท้องถนนนานเกินไป ยิ่งไปกว่านั้นการถึงที่ทำงานก่อนเวลาเริ่มงานหรือในช่วงที่ยังไม่มีเพื่อนร่วมงานมาประสานงานกับเรา จะยิ่งทำให้เรามีเวลาวางแผนในการทำงานได้อย่างครบถ้วน ถูกต้อง แถมยังทำงานได้เสร็จเร็วกว่าคนอื่น ๆ อีกด้วย
  • จัดลำดับความสำคัญของงาน ยกตัวอย่างเช่น ในวันหนึ่ง ๆ เราต้องมีงานหลายอย่างต้องทำ แต่เวลาในการส่งมอบงานไม่เท่ากัน เราก็ต้องนำงานแต่ละชิ้นมาจัดลำดับความสำคัญ งานที่มีกำหนดก่อนควรรีบทำให้เสร็จก่อน หรืองานที่มีความซับซ้อนแต่พอมีกำหนดเวลาในการทำ เราก็สามารถหาทางจัดการ เช่น การขอคำปรึกษาเพื่อนร่วมงานถึงวิธีการทำงานชิ้นนั้นให้สำเร็จเร็วขึ้นได้
  • แบ่งเวลางานกับเวลาส่วนตัวออกจากกัน เพื่อที่เราจะใช้เวลาทำงาน 8 ชั่วโมงต่อวันให้คุ้มค่ามากที่สุด ที่สำคัญคือเวลางานควรจะใช้สมาธิทำงานให้เต็มที่ ไม่ควรเอาเรื่องส่วนตัวมาใช้ในเวลาทำงานเพราะจะยิ่งเป็นการลดเวลาของการทำงานใน 1 วันให้น้อยลงเข้าไปอีก
  • ควรจัดการงานที่ต้องใช้เวลาทำงานหรืองานยาก ๆ ก่อน ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าต้องใช้เวลาในการทำ หากเรานำงานชิ้นนี้มาทำก่อนงานที่เราเชี่ยวชาญอยู่แล้ว ก็จะทำให้งานหลาย ๆ อย่างที่ต้องเสร็จในวันเดียวกันสามารถทำสำเร็จไปได้พร้อม ๆ กัน

เครียดกับงานทั้งวันก็ไม่ดี ดังนั้น ควรหาเวลาพักจากการทำงานในระหว่างวันด้วย เช่น หาเวลาจิบชายามบ่าย พักสายตาด้วยการเดินยืดเส้นยืดสาย การหาเวลาพักก็เหมือนกับการชาร์จแบตในระหว่างวันไปในตัว และยังช่วยให้มีพลังในการทำงานของวันให้เสร็จเร็วขึ้นได้ด้วย

เราเชื่อว่าหากคุณสามารถบริหารเวลาอย่างมีประสิทธิภาพตามที่เราบอกมา คุณจะสามารถมีเวลาที่เหลือใน 1 วันไปใช้หาความบันเทิงอื่น ๆ ได้อย่างแน่นอน

บริหารเวลาทำงาน

ช่วง WFH บริหารเวลาอย่างไรไม่ให้เครียด

ช่วง WFH บริหารเวลาอย่างไรไม่ให้เครียด

Work from home หรือใช้ WFH เป็นคำย่อที่แพร่หลายเป็นที่รู้จักในวงกว้าง พร้อม ๆ กับสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ที่ส่งผลกระทบออกไปในทุก ๆ ด้าน ทั้งเศรษฐกิจ สังคม การศึกษา โดยเฉพาะวิถีการดำรงชีวิตที่เปลี่ยนไปในพริบตา แบบ New Normal หรือชีวิตปกติใหม่ แต่ทั้งหมดทั้งมวลก็เพื่อความปลอดภัยในสุขอนามัยของทุกคน โดยเน้นประเด็นเรื่องการลดความแออัดและการแพร่ระบาด โดยให้ละเว้นการเดินทางในระบบขนส่งสาธารณะให้ได้มากที่สุด ทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชนจึงเลือกที่จะให้มาตรการ WFH หรือ Work from home เพื่อลดความเสี่ยงในการได้รับเชื้อไวรัสโคโรน่านั่นเอง แต่ทว่าหลายคนก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่า Work from home จริง ๆ แล้วเป็นเช่นไร เราจะพาไปทำความรู้จักการ WFH อย่างเหมาะสม ซึ่งจะช่วยเราบริหารเวลาไม่ให้เครียดได้อีกด้วย

สำหรับวิธีการ Work from Home นั้นมีขั้นตอนการปฏิบัติง่าย ๆ ดังนี้

1. เตรียมพร้อมอุปกรณ์การทำงาน เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก USBและ External บรรจุไฟล์เอกสาร ภาพประกอบโครงการต่าง ๆ เบอร์โทรศัพท์ และอุปกรณ์จำเป็นอื่นให้พร้อมสำหรับการเริ่ม Work from Home

2.กำหนดตารางเวลาการทำงาน เหมือนขณะที่ปฏิบัติงานในออฟิศหรือสำนักงาน เช่น เริ่มปฏิบัติงานตั้งแต่ประมาณ 08.30 น. พักกลางวันเวลา 12.00 น. และกลับสู่โหมดปฏิบัติงานเวลา 13.00 น.จนกระทั่งหมดเวลาทำงานหรือเสร็จสิ้นโครงการตามที่วางแผนไว้ ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด เพราะ WFH คือการทำงานแบบเต็มเวลาขณะที่อยู่บ้านนั่นเอง

3. เพื่อลดความตึงเครียดในการใช้สายตาและสมอง ควรจัดสรรเวลาประกอบเมนูมื้อกลางวัน ที่ช่วยให้อิ่มแบบสุขภาพดี หรืออาหารว่างประโยชน์เยอะที่ช่วยบำรุงสมองและสายตาไปพร้อม ๆ กัน เช่น นม น้ำผลไม้ปั่น ฯลฯและที่สำคัญการทำอาหารก็เป็นการทำสมาธิและผ่อนคลายความตึงเครียดลงได้อีกวิธีหนึ่งด้วย

4. การเลือกใช้แอปพลิเคชันทันสมัยในการทำงานร่วมกับทีม เช่น (Zoom, Skype หรือ การประชุมผ่าน VDO Conference หรือโปรแกรม Line เพื่อให้เราสามารถบริหารเวลาในส่วนต่าง ๆ ได้อย่างราบรื่น รวดเร็วต่อเนื่อง ส่งผลให้งานสำเร็จด้วยความสุขใจ

5. การเอาใจใส่ต่อสุขภาพร่างกาย ซึ่งอาจเป็นผลพวงมาจากการหักโหมเร่งงาน ทำให้นั่งนานจนปวดเมื่อย ปวดหลัง เป็นต้น ดังนั้นควรตั้งเวลาปลุกไว้ทุก ๆ 1-2 ชั่วโมงการทำงาน เพื่อการพักออกกำลังกายยืดเส้นยืดสายเบา ๆ ไปเดินเล่นชมนกชมไม้ หรือเอนหลังจิบเครื่องดื่มเย็น ๆ หรือน้ำผลไม้สดเย็นชื่นใจ นอกจากช่วยให้ผ่อนคลายแล้ว การพักผ่อนระหว่างทำงานยังเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานด้วย เช่น สามารถคิดอ่านและตัดสินใจได้ดีขึ้น หรือปิ๊งไอเดียบางอย่างขณะที่พัก เป็นต้น

นอกจากนี้วิธีข้างต้นแล้ว ยังมีเทคนิคในการบริหารเวลาที่น่าสนใจ ช่วยให้งานดี สุขภาพเลิศ โดยคุณสามารถทำได้ง่าย ๆ ด้วยกฎ 20-20-20 เช่น ให้พักสายตาทุก ๆ 20 นาที หันไปมองต้นไม้ใบหญ้าสีเขียว ๆ หรือจุดตัดของขอบฟ้าที่ใดที่หนึ่งในระยะ 20 ฟุต หรือ 6 เมตร โดยประมาณ ภายในเวลา 20 วินาที เพียงเท่านี้ความตึงเครียดของกล้ามเนื้อบริเวณกระบอกตา สมอง ต้นคอ บ่าและไหล่ จะผ่อนคลายลงได้อย่างน่ามหัศจรรย์

เรื่องของเวลา

5 ทักษะการบริหารเวลาที่พัฒนาได้ด้วยตัวเอง

5 ทักษะการบริหารเวลาที่พัฒนาได้ด้วยตัวเอง

ทักษะการบริหารจัดการเวลาช่วยให้มีความเป็นมืออาชีพ ไม่ว่าจะทำอะไรหรือแม้แต่หน้าที่ความรับผิดชอบประจำวันหากทำได้อย่างเชี่ยวชาญ รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ นั่นคือความเป็นมืออาชีพที่กล่าวถึง แม้จะมีเวลาไม่มากหรือมีงานล้นมือแต่ถ้าสามารถพัฒนาทักษะการบริหารเวลาจะช่วยให้บรรลุเป้าหมายได้ทันท่วงที ไม่ต้องรู้สึกเครียดกับงานมากเกินไปหรือรู้สึกว่าต้องรับผิดชอบมากเกินไป การจัดการเวลาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแต่ต้องใช้เวลา ซึ่งแต่ละคนก็จะมีวิธีการของตนเองแตกต่างกันไป แนะนำเคล็ดลับที่คุณสามารถเรียนรู้ด้วยตัวเองได้มาฝากกันดังนี้

1.จัดลำดับความสำคัญของงาน
ก่อนเริ่มงานควรวางแผนทำงานสำคัญและต้องการให้เสร็จเร็วในทันที ส่วนงานไม่สำคัญเก็บไว้ทีหลัง ไม่ควรเสียเวลาและพลังงานไปกับงานที่ไม่สำคัญเพราะเห็นว่าง่ายและไม่เครียด อยากให้งานออกมามีประสิทธิภาพต้องมีสมาธิตั้งใจทำงานสำคัญและเร่งด่วนให้ดีที่สุด เวลาที่เหลือจึงใช้กับงานอื่น ๆ ตามตารางเวลาอย่างเหมาะสม งานทั้งหมดที่ได้รับมอบหมายจะได้เสร็จในเวลาอันสั้น ทำงานได้ดี มีเวลาส่วนตัวและเวลาอยู่กับครอบครัว ทั้งยังลดความเครียดไปได้ด้วย

2.วางสิ่งที่ต้องทำให้เสร็จในแต่ละวัน
ก่อนเริ่มงานในแต่ละวันควรเขียนรายการ “สิ่งที่ต้องทำ” วางแผนคร่าว ๆ ว่าวันนี้ต้องทำอะไรบ้าง ลำดับความสำคัญและจำเป็น จากนั้นทำเรียงกันไปทำให้สำเร็จทีละอย่าง หากมีงานใหญ่สำคัญมาก ๆ ทำให้เสร็จก่อนแล้วอย่างอื่นค่อยทำในวันถัดไปหรือกระจายงานไปให้เพื่อนร่วมทีมช่วยแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบอย่างเหมาะสม หมั่นวางแผนจดรายการสิ่งที่ต้องทำ ทั้งเรื่องของการงานธุรกิจ งานบ้าน และเรื่องส่วนตัว

3.กำหนดเวลาทำงานให้สำเร็จ
การลำดับความสำคัญของงานมีหลายวิธี งานที่มีกำหนดเส้นตายนับเป็นอีกหนึ่งงานที่ต้องมาก่อนและทำให้สำเร็จเป็นอันดับแรก ช่วยให้การบริหารจัดการเวลาง่ายขึ้นมองเห็นภาพเพื่อให้จะทำงานได้อย่างต่อเนื่องทั้งในอาชีพการงานและชีวิตส่วนตัว เลิกพฤติกรรมผลัดวันประกันพรุ่ง เพราะจะเสียเวลาและสูญพลังงานไปโดยเปล่าประโยชน์ พยายามทำงานให้เสร็จก่อนกำหนดเส้นตายอย่างน้อย 2-3 วัน

4.หลีกเลี่ยงการทำงานหลายอย่างพร้อมกัน
หลายคนเข้าใจผิดคิดว่าการทำงานหลายอย่างพร้อมกันเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพ แต่ความจริงแล้วการจดจ่อมีสมาธิกับสิ่งที่ทำจะทำได้ดีและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ถือเป็นวิธีปรับปรุงทักษะการจัดการเวลาได้ดีกว่า แนะนำให้ใช้ประโยชน์จากรายการ “สิ่งที่ต้องทำ” และกำหนดเวลาเส้นตายเพื่อช่วยประหยัดเวลาและทำสิ่งต่าง ๆ ได้มากขึ้น

5.รู้จักแบ่งงานให้คนที่เหมาะสม
มอบหมายงานให้ลูกน้องทำบ้าง เป็นเรื่องปกติถ้าบางวันจะมีงานล้นมือจนรับไม่ไหว เมื่อหน้าที่มากเกินกว่าที่จะรับผิดชอบได้ ทำให้เกิดความเครียดและเบื่อหน่ายงาน การมอบหมายงานให้คนอื่นทำถือเป็นทักษะการบริหารเวลาที่มีประสิทธิภาพเพื่อให้งานเสร็จเร็วขึ้น ความเครียดมักเกิดขึ้นเมื่อเรารับงานมากกว่ากำลังที่จะทำได้ ทำให้รู้สึกเหนื่อยล้า ลองพักสายตา หายใจยาว ๆ ออกไปเดินข้างนอก ออกกำลังกาย ฝึกสมาธิ ฟังเพลง ทำงานอดิเรก เป็นวิธีจัดการกับความเครียดอย่างชาญฉลาด

ทุกคนมีเวลาเท่ากัน หากบริหารเวลาได้ดีกว่า ก็จะทำให้ใช้เวลาได้อย่างคุ้มค่า ดังนั้น ขอให้เริ่มวางแผนทันที แล้วคุณจะพบว่ามีเวลาเหลือทำสิ่งต่าง ๆ ได้มากขึ้น

บริหารเวลาทำงาน

บริหารเวลาอย่างไรให้ทำงานได้ดีขึ้น

บริหารเวลาอย่างไรให้ทำงานได้ดีขึ้น

การบริหารเวลาให้ดีเป็นคำที่เราทุกคนเคยได้ยินบ่อย ๆ แต่ในทางปฏิบัติแล้วมีคนจำนวนไม่มากนักที่สามารถทำได้จริงในทุกวัน อันที่จริงแล้วเราทุกคนสามารถเริ่มต้นใช้เวลาในทุกวันได้อย่างมีคุณภาพ จากการใส่ใจรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ดังต่อไปนี้

1. ตื่นนอนแต่เช้า
การตื่นนอนแต่เช้าในช่วงเวลา 4:00 น. – 5:00 น. จะทำให้ได้รับออกซิเจนที่บริสุทธิ์ ดีต่อระบบการทำงานของสมองหัวใจ ปอด ยิ่งถ้ามีเวลาเดินออกกำลังกายหรือนั่งสมาธิในตอนเช้าในช่วงเวลาดังกล่าว จะทำให้ได้รับพลังงานที่ดี เสริมพลังใจให้พร้อมต่อการทำงานได้ยาวนาน 10-12 ชั่วโมงต่อวันด้วย

2. นอนหลับในเวลาที่เหมาะสม
เราควรหลับสนิทในช่วง 22:00 น. ถึง 02:00 น. อันเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายหลั่งโกรทฮอร์โมนหรือฮอร์โมนที่ช่วยฟื้นฟูพลังสมองและชะลอความแก่ได้มากที่สุด การนอนหลับสนิทอย่างมีคุณภาพ ส่งผลสำคัญให้อารมณ์แจ่มใสและพลังสมองที่สดชื่น จึงเสริมประสิทธิภาพในการทำงานได้เป็นอย่างดี

3. จดบันทึกสิ่งที่ต้องทำก่อนนอน
การบันทึกสิ่งที่ต้องทำในวันถัดมาตั้งแต่ช่วงก่อนนอนเป็นสิ่งสำคัญ ใช้เวลาเพียงวันละ 10-15 นาทีก่อนนอนทุกคืนบันทึกว่าในวันรุ่งขึ้นมีสิ่งใดที่ต้องทำและเร่งด่วน หรือต้องประสานงานก่อน เมื่อเป็นเช่นนี้ จะทำให้คุณนอนหลับได้สนิท ไม่มีอาการวิตกกังวล เพราะกลัวหลงลืมและเมื่อตื่นเช้าขึ้นมา ก็สามารถทำสิ่งต่าง ๆ ตามแผนการที่บันทึกไว้ได้ในทันที

4. ทำงานอย่างมีสมาธิ
ไม่ควรทำงานหลายอย่างพร้อมกัน หรือมีสิ่งเบี่ยงเบนความสนใจ เพราะจะทำให้มีความผิดพลาดในการทำงานได้ เช่น การคิดเรื่องงานไป พร้อมกับการฟังเพลง หรือรับประทานอาหาร จะทำให้ขาดสมาธิจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ผู้ที่ทำงานต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ ควรอยู่ในห้องเงียบหรืออยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม ไม่มีเสียงดังรบกวนจากคนรอบข้างด้วย

5. ปฏิเสธหากไม่จำเป็น
คนที่ขี้สงสารและเกรงใจ เมื่อมีคนมาขอความช่วยเหลือมาก มักตกปากรับคำโดยที่ลืมไปว่าตัวเองยังมีงานอื่นค้างอยู่อีกมาก ทำให้งานไม่สำเร็จตามเวลา และยังมีเวลาส่วนตัวน้อยลง เมื่อเป็นเช่นนี้จะทำให้ตารางการบริหารเวลางานของคุณรวน ไม่เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้บ่อย ๆ วิธีแก้ไขปัญหานี้ คือ การปฏิเสธความช่วยเหลือจากคนอื่นบ้างหากคุณยังมีสิ่งที่ต้องทำอยู่

เทคนิคการบริหารเวลาตามที่กล่าวมานั้น เริ่มมาจากความพร้อมของพลังสมองและพลังใจของตัวคุณเอง ร่วมกับการบริหารจัดการเวลาอย่างมีวินัยตลอดทั้งวัน จะทำให้คุณมีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น และมีประสิทธิภาพการทำงานที่สูงขึ้นอย่างแน่นอน ทีนี้คุณก็จะมีเวลาว่างเหลือเพื่อเพลิดเพลินกับโปรแกรมบอลพรุ่งนี้ได้อย่างเต็มที่และสบายใจ

เรื่องของเวลา

เผย 5 เทคนิคในการบริหารเวลา ช่วยให้ชีวิตลงตัวและง่ายขึ้น

เผย 5 เทคนิคในการบริหารเวลา ช่วยให้ชีวิตลงตัวและง่ายขึ้น

การบริหารเวลา (Time Management) เป็นทักษะและการฝึกฝนประเภทหนึ่งที่จะช่วยให้เราสามารถจัดการเวลา 24 ชั่วโมงใน 1 วันของเราให้มีประสิทธิภาพด้วยการลำดับความสำคัญของกิจกรรมแต่ละประเภทให้ทำสำเร็จตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ ซึ่งหากมีวินัยและสามารถปฏิบัติตามได้ คำว่าไม่มีเวลาจะถูกกำจัดออกไปจากชีวิตและผลพลอยได้ของการบริหารเวลาจะช่วยให้เราสามารถทำกิจกรรมอื่น ๆ ที่อยากทำได้โดยไร้ความกังวล วันนี้เราจะมาเปิดเผยเทคนิคในการบริหารเวลา 5 ข้อที่จะช่วยให้ชีวิตของเราลงตัวและง่ายขึ้น

1.สร้างตารางชีวิต (Schedule) ให้ตัวเอง ด้วยการกำหนดเวลาตื่นนอน การเดินทาง วางแผนการทำงานในแต่ละวัน ซึ่งบางวันหากเราบริหารช่วงเวลาในการทำงานได้ดี ก็จะมีเวลาเหลือไว้ทำกิจกรรมหลังเลิกงานหรือมีเวลาให้กับครอบครัวได้มากขึ้น แต่หากวันใดที่อาจประสบกับปัญหางานที่อาจทำให้ตารางชีวิตของเรารวนไปบ้างก็ไม่ถือว่าเป็นความล้มเหลว ตรงกันข้ามเราสามารถใช้เรื่องนี้เป็นบทเรียนหรือประสบการณ์ในการพัฒนาให้งานของเราสำเร็จและลุล่วงได้เร็วมากขึ้นกว่าเดิม

2.จัดลำดับความสำคัญของงาน (Prioritization) นับเป็นทักษะที่ต้องการการฝึกฝนและปฏิบัติจนเกิดความเชี่ยวชาญ โดยเฉพาะผู้ที่ทำงานเป็นรูทีน (Routine) หรือสิ่งที่ทำเป็นกิจวัตรจะมีแต่สามารถปฏิบัติได้เร็วขึ้น ส่งผลให้เราสามารถรับงานอื่นได้เพิ่มขึ้น ถือเป็นโอกาสให้เราแตกแขนงความสามารถในงานไปได้อีกระดับหนึ่ง

3.ทำงานที่ยากที่สุดก่อน (Challenge) คนเราต้องมีแต่การเดินไปข้างหน้าเท่านั้น ดังนั้นจึงถือเป็นเรื่องปกติที่มักจะได้รับมอบหมายงานชิ้นใหม่ที่มีความท้าทายมากกว่าเดิม เริ่มแรกย่อมผ่านไปได้ยากหรือเจอกับอุปสรรคบ้างเป็นเรื่องธรรมดา แต่เมื่อเราคุ้นเคยกับงานที่ยากเหล่านั้น งานยากจะถูกเปลี่ยนเป็นงานประจำทันที นั่นย่อมส่งผลให้เราสามารถบริหารจัดการเวลาได้ดีขึ้นเป็นลำดับ การทำงานที่ยากที่สุดก่อนในแต่ละวัน นอกจากจะทำงานได้คล่องและมีประสิทธิภาพแล้ว ยังทำให้รู้สึกดีและผ่อนคลายได้มากกว่าด้วย

4.มีเวลาพักจากโซเชียล (Social) แม้ว่าการท่องโลกออนไลน์จะกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของใครหลายคนไปเสียแล้ว แต่เรายังคงต้องรู้จักแบ่งเวลางาน เวลาของครอบครัว และเวลาของการท่องโลกโซเชียลเอาไว้ด้วย เพื่อให้เรายังคงตามโลกทัน ขณะเดียวกันชีวิตส่วนตัวและด้านการงานก็ยังคงมีประสิทธิภาพ

5.จัดสรรเวลาส่วนตัว (Personal Time) ทั้งเวลาพักผ่อน การออกกำลังกายหรืออ่านหนังสือ ฟังเพลง นับเป็นช่วงเวลาที่ช่วยให้เราได้ผ่อนคลายและพักผ่อนสมอง เปรียบเสมือนการชาร์จแบตให้ตัวเองเพื่อทำกิจกรรมในวันต่อ ๆ ไปให้มีประสิทธิภาพดีขึ้น

การบริหารเวลาคือการฝึกฝนและพัฒนาตัวเองให้สามารถจัดการทั้งเวลางาน เวลาของครอบครัว หรือเวลาส่วนตัวของตัวเองให้มีคุณภาพมากที่สุดเพื่อที่เราจะได้ใช้เวลาที่เหลืออยู่ประกอบกิจกรรมอื่น ๆ ที่ต้องการได้อย่างมีความสุขนั่นเอง

เรื่องของเวลา

บริหารเวลาอย่างไรให้มีเวลาเหลือ

บริหารเวลาอย่างไรให้มีเวลาเหลือ

หากคุณต้องการประสบความสำเร็จในชีวิตอย่างรอบด้าน ต้องฝึกบริหารเวลาอย่างเหมาะสม เพื่อให้มีเวลาเหลือในการทำสิ่งต่าง ๆ ทั้ง ทำงานสร้างรายได้ ท่องเที่ยว พักผ่อน ออกกำลังกาย ใช้ชีวิตกับครอบครัว ฯลฯ หากไม่เรียนรู้การบริหารเวลาให้ดีแล้ว ก็จะทำให้พลาดโอกาสทำสิ่งที่ต้องการไปอีกมากมาย

ผู้ประสบความสำเร็จในชีวิตต่างให้ความเห็นว่า การบริหารเวลาที่ดีประกอบไปด้วย 2 ส่วนที่สำคัญ คือ การลำดับสิ่งที่ต้องทำก่อนและหลังอย่างเหมาะสม และการมีสมาธิจดจ่อกับสิ่งที่ทำ หากคุณสามารถลำดับสิ่งที่ต้องทำในแต่ละวันได้เป็นอย่างดี เช่น ทำงานที่ยาก ต้องใช้พลังสมองมาก หรือต้องส่งอย่างเร่งด่วนมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่ง แล้วไล่เรียงลำดับความสำคัญเร่งด่วนที่น้อยลงไปเรื่อย ๆ จนถึงงานที่ไม่จำเป็นและไม่เร่งด่วน ที่สามารถมอบหมายให้คนอื่นทำแทนได้ ร่วมกับการมีสมาธิจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ต้องทำตรงหน้าเสมอ ไม่วอกแวก จะทำให้ทำงานผิดพลาดน้อยลงและงานเสร็จไวขึ้นแน่นอน

ทั้งนี้ คำแนะนำเพิ่มเติมเกี่ยวกับการบริหารเวลาที่ทุกคนควรนำไปปรับใช้ ได้แก่

  • การตื่นนอนตั้งแต่เช้าตรู่ เป็นการกระตุ้นให้ร่างกายตื่นตัวด้วยการออกกำลังกายเป็นประจำก่อนทำงานสัก 15-30 นาที ซึ่งจะทำให้สมองได้รับออกซิเจนจากอากาศบริสุทธิ์และทำให้จิตใจแจ่มใสมากขึ้นด้วย
  • ปิดเครื่องมือสื่อสารในระหว่างการทำงาน คุณควรกำหนดเวลาในการเช็คอีเมลและการเข้าอินเทอร์เน็ตที่ไม่เกี่ยวกับการทำงาน เช่น การเล่น Line Facebook Instagram เพราะจะทำให้เสียสมาธิและทำให้
  • งานผิดพลาดได้ ทั้งนี้อาจตั้งค่าแจ้งเตือนเฉพาะข้อความจากคนสำคัญเท่านั้น
  • ทำงานในสถานที่เหมาะสม ถ้าต้องใช้ความคิดในการทำงานมาก ควรเลือกสถานที่เงียบหรือมีบรรยากาศที่เป็นส่วนตัวสูง จะทำให้พร้อมต่อการทำงานมากขึ้น
  • นอนให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละ 6-8 ชั่วโมง เพื่อให้ร่างกายได้ฟื้นตัวมากที่สุด โดยเฉพาะช่วงเวลาสี่ทุ่มถึงตีสอง ที่ร่างกายสร้างโกร์ทฮอร์โมนมากที่สุด จะทำให้ลดอาการเหนื่อยล้าหรือง่วงนอนในระหว่างวันได้
  • แต่งกายเรียบง่าย หากศึกษาวิถีชีวิตของนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมากมาย จะพบว่าในวันทำงาน เขาเหล่านั้นจะแต่งตัวเรียบง่ายคล้ายกันทุกวัน เช่น เสื้อเชิ้ตสีโทนเดียวกัน กางเกงสีดำหรือกรมท่า
  • รองเท้าหนัง เพื่อประหยัดเวลาในการตัดสินใจเลือกเสื้อผ้าได้มากขึ้น
  • การวางแผนล่วงหน้า การเตรียมงานของวันรุ่งขึ้น ในช่วงเวลาก่อนนอน 15 นาที จะช่วยลดความเร่งรีบในตอนเช้า ไม่เสี่ยงเจอปัญหารถติด ทั้งทำให้การทำสิ่งต่าง ๆ เป็นไปตามแผนที่วางไว้อย่างรอบคอบ

เราเชื่อว่าหากคุณนำเทคนิคและวิธีการที่กล่าวมาข้างต้นไปปรับใช้ จะทำให้การบริหารเวลามีประสิทธิภาพขึ้น และทำให้ประสบความสำเร็จในชีวิตได้อย่างต้องการด้วย

บริหารเวลาทำงาน

5 เทคนิค บริหารเวลาอย่างมืออาชีพ นำทีมสำเร็จได้

5 เทคนิค บริหารเวลาอย่างมืออาชีพ นำทีมสำเร็จได้

24 ชั่วโมง คือเวลาบนเข็มนาฬิกาชีวิตที่ทุกคนได้รับอย่างเท่าเทียมกันในแต่ละวัน แต่ทำไมหลายคนถึงชอบพูดว่า ไม่มีเวลา นั่นเพราะเขาอาจไม่ได้ใช้การบริหารเวลาอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อตนเองและหน้าที่การงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องทำงานเป็นทีม ดังนั้นวันนี้เราจึงมี 5 เทคนิคการบริหารเวลาอย่างมืออาชีพ เพื่อนำทีมไปสู่ความสำเร็จมาฝากกัน

การบริหารเวลาที่ดี คือการวางแผนจัดการภารกิจในชีวิตและหน้าที่การงานให้สำเร็จลุล่วงโดยไม่ต้องใช้เวลามากนัก แต่ได้รับผลสัมฤทธิ์อย่างสูง ดังนั้นการบริหารเวลาจึงสำคัญอย่างยิ่งต่อการทำงานที่ต้องสื่อสารกับคนจำนวนมาก ในเวลาที่จำกัด และทำงานภายใต้สภาวะกดดัน จากความตึงเครียด และความคาดหวังสูง เช่น ฝ่ายขาย ทีมการตลาดและทีมประชาสัมพันธ์ ซึ่งมีเทคนิคน่าสนใจดังนี้

1.เริ่มต้นการวางแผนงานให้ดี ตรงตามนโยบาย ของบริษัทฯ ดังคำกล่าวที่ว่า “สายน้ำไม่คอยท่า เวลาไม่คอยใคร” การไปถึงที่ทำงานแต่เช้า จะช่วยให้มีสมาธิและมีไอเดียใหม่ ๆ เกิดขึ้น การเริ่มต้นทำงานอย่างเป็นขั้นตอนตามที่วางแผนไว้ ก็จะราบรื่น รวดเร็วและช่วยให้มองเห็นจุดเด่น จุดด้อยของทีมและการทำงานในแต่ละขั้นตอน ตลอดจนสามารถกำหนดขอบเขตการทำงานและเช็คความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสม และเมื่อเกิดปัญหาก็สามารถแก้ไขได้อย่างรวดเร็วทันท่วงที

2.จัดลำดับความสำคัญ ของการทำงานและเนื้อหาที่จะนำเสนอให้ถูกต้องเหมาะสม เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อน และให้ได้ผลงานตรงตามเป้าหมาย ภายในระยะเวลาที่กำหนด และการจัดโต๊ะทำงานให้เป็นระเบียบ ก็เป็นองค์ประกอบสำคัญอย่างหนึ่งที่ช่วยเราบริหารเวลาในการทำงานได้อย่างลงตัว

3.เลือกคนทำงานให้ตรงกับงานที่ทำ หรือที่นิยมกล่าวกันว่า put the right man on the right jobs เพื่อให้ลูกทีมใช้ศักยภาพได้อย่างเต็มที่ ทำงานสำเร็จตามเป้าหมาย และไม่เสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์

4.แบ่งงานออกเป็นส่วน ๆ กระจายหน้าที่กันทำ เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ที่สำคัญควรแบ่งเวลาสำหรับการทำกิจกรรมสันทนาการในทีมอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง พร้อมทั้งตรวจเช็คประสิทธิภาพในการทำงานตามที่ได้รับมอบหมาย เพื่อลดความตึงเครียด ไปพร้อม ๆ กับการปลูกฝังมิตรภาพขึ้นในทีม

5.ใช้เทคโนโลยีการสื่อสาร เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ อีเมล แอปพลิเคชัน มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้งานสำเร็จได้อย่างรวดเร็วและประหยัดเวลาในการทำงาน ข้อสำคัญห้ามผัดวันประกันพรุ่งโดยเด็ดขาด เพราะจะทำให้เกิดความล่าช้าและบั่นทอนกำลังใจของคนทำงาน อีกทั้งทำให้เสียเวลาและโอกาสไปโดยไม่รู้ตัว

มีคำกล่าวที่ว่า “เริ่มต้นที่ดี มีชัยไปกว่าครึ่ง” เพราะในแต่ละวันที่เราเริ่มต้นทำงานด้วยจิตใจที่เบิกบาน รอยยิ้มที่แจ่มใส และมีเป้าหมายของความสำเร็จเป็นที่ตั้ง หัวใจเราจะพองโตด้วยความสุขและภาคภูมิใจ หากบริหารเวลาได้อย่างมืออาชีพแล้ว จะสามารถทำสิ่งต่าง ๆ ได้สำเร็จตามแผนงานที่วางไว้อย่างแน่นอน

บริหารเวลาทำงาน

บริหารเวลาอย่างไร ให้เข้ากับนาฬิกาชีวิต

นาฬิกาชีวิต

นาฬิกาชีวิตเป็นศาสตร์ที่มีมาแต่โบราณ โดยเราทุกคนมีช่วงเวลาที่อวัยวะแต่ละส่วนทำงานได้ดีมากน้อยไม่เท่ากัน จึงเป็นสิ่งที่ควรเรียนรู้และบริหารเวลากิจกรรมทุกวันให้สัมพันธ์กับนาฬิกาชีวิต เพื่อให้สุขภาพดีในระยะยาว

ช่วงเวลาแห่งการดีทอกซ์ – ช่วงเวลาตีหนึ่งถึงตีสาม เราควรนอนหลับให้สนิท เพราะเป็นช่วงสำคัญที่ตับได้ทำหน้าที่ขับสารพิษ เช่น สารต้านอนุมูลอิสระจากความเครียด และสารเจือปนในอาหารที่เรารับประทานระหว่างวันออกไปให้มากที่สุด และยังเป็นช่วงที่มีการหลั่งสารเมลาโทนินให้มีฤทธิ์ทำให้เราหลับลึก ได้ทำหน้าที่อย่างสมบูรณ์ด้วย จึงช่วยชะลอวัยให้ดูอ่อนเยาว์ได้นาน

ช่วงแห่งการฟื้นฟูปอด – ช่วงเวลาตีสามถึงตีห้า เป็นเวลาที่หลายคนตื่นนอนเพื่อเตรียมตัวไปทำงาน และเป็นเวลาดีสำหรับการสูดดมออกซิเจนบริสุทธิ์จากอากาศไปฟื้นฟูระบบทางเดินหายใจด้วย การตื่นนอนในช่วงเวลานี้และเดินสูดอากาศในสวนสาธารณะจึงทำให้ร่างกายสดชื่น สมองแจ่มใสพร้อมต่อการทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพทั้งวัน

ช่วงแห่งการกระตุ้นลำไส้ใหญ่ – ช่วงเวลาตีห้าถึงเจ็ดโมงเช้า เป็นเวลาสำคัญที่ควรกระตุ้นให้ลำไส้ใหญ่บีบตัว โดยการขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย เพียงใช้เทคนิคง่าย ๆ คือ หลังจากตื่นนอนตอนเช้าให้ดื่มน้ำสะอาด 1 แก้วและเดิน 15-30 นาที หรือการรับประทานกล้วยน้ำว้าสุกหรือลูกพรุนเป็นประจำก่อนนอน ก็จะทำให้ลำไส้ใหญ่ทำงานดี ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคริดสีดวงทวารหนักและท้องผูกได้ด้วย

ช่วงกระเพาะเปิดรับอาหาร – เวลาเจ็ดโมงถึงเก้าโมงเช้า เป็นเวลาดีสำหรับกระตุ้นระบบย่อยในกระเพาะอาหาร เราจึงควรรับประทานอาหารมื้อแรกของทุกวันในเวลานี้ และยังทำให้ร่างกายสดชื่นหลังจากการอดอาหารมาตลอดทั้งคืน ทั้งนี้มีผลวิจัยพบว่าคนที่รับประทานอาหารเช้าในช่วงเวลาดังกล่าว จะมีโอกาสเป็นโรคอ้วนและเบาหวานน้อยลงด้วย

ช่วงเวลาที่เหมาะต่อการออกกำลังกาย – ช่วงหนึ่งทุ่มถึงสามทุ่มเป็นเวลาการขับของเสียของไต จึงควรออกกำลังกายตอนนี้ เช่น วิ่ง ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ ตีเทนนิส ฯลฯ และควรลดการรับประทานอาหารโปรตีนในช่วงมื้อเย็น เพื่อให้ไตไม่ทำงานหนักเกินไป จะทำให้การลดน้ำหนักได้ผลดีและสุขภาพโดยรวมดีขึ้นด้วย

ตัวอย่างที่กล่าวมา แสดงให้เห็นว่าแต่ละช่วงเวลามีสิ่งที่ควรทำแตกต่างกัน หากบริหารเวลาให้เข้ากับนาฬิกาชีวิตได้เป็นประจำทุกวัน พร้อมกับการเลือกรับประทานอาหารที่ดี หากิจกรรมที่ผ่อนคลายความเครียดจากการทำงาน ฯลฯ ก็จะทำให้สุขภาพของคุณดีขึ้น มีพลังกายและพลังสมองที่พร้อมต่อการใช้ชีวิตอย่างมีความสุข และจะมีประสิทธิภาพการทํางานดีขึ้นด้วย

เรื่องของเวลา

6 ด้านที่ควรปรับเพื่อพัฒนาการใช้ชีวิตแต่ละวันให้ดีขึ้น

6 ด้านที่ควรปรับเพื่อพัฒนาการใช้ชีวิตแต่ละวันให้ดีขึ้น

คนที่ประสบความสำเร็จจะมีการพัฒนาตัวเองด้วยการวางแผนบริหารเวลา ว่าช่วงนี้จะต้องทำอะไรในแต่ละวันหรือแต่ละสัปดาห์ เมื่อมีการวางแผนไว้ดีและเลือกลำดับความสำคัญว่าอะไรควรทำก่อนหรือควรทำทีหลังแล้ว เขาก็จะมีการดำเนินชีวิตไปตามแผนและยังทำให้มีเวลาว่างเหลือมากทั้งที่งานเยอะ ด้วยเหตุนี้ เราจึงมี 6 ด้านที่ควรบริหารเวลาในการพัฒนาตัวเอง เพื่อให้คุณใช้เวลาได้อย่างคุ้มค่ามากที่สุด แล้วคุณจะพบว่ามีเวลาเหลือมากกว่าเดิม

การงาน การเงินหรือการเรียน – การให้เวลากับตัวเองด้วยการศึกษาเรียนรู้พัฒนาศักยภาพตัวเองเพื่อประโยชน์ในอนาคต เช่น การหางานเสริมด้วยช่องทางที่สร้างความรุ่งเรืองเพื่อให้คุณได้ก้าวต่อไปข้างหน้า

สมาธิหรือจิตใจ – การจัดสรรเวลาอยู่กับตัวเองในด้านสมาธิหรือจิตใจจะช่วยให้คุณได้รับประโยชน์ หมายความว่า มีใจนิ่ง ใจสบายมากขึ้น มีความสดชื่นและทรงพลังจนมีความพร้อมที่จะปฏิบัติทุกภารกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ความคิด – การบริหารเวลาด้วยการสรรหาความรู้เพิ่มขึ้นตลอดซึ่งส่วนใหญ่จะมาจากการฟังและการอ่าน จากนั้นให้มีการประเมินตัวเองเป็นช่วง ๆ อาจจะประเมินเป็นระยะเวลา 1 เดือน 3 เดือน หรือ 6 เดือน ว่ามีการพัฒนาได้มากแค่ไหนหลังจากที่มีการนำความรู้มาใช้จริง เหมือนเหล่านักเตะชื่อดัง เอ็มบับเป้ เนย์มาร์ เมสซี่ คนเหล่านี้ย่อมมีการเทียบตัวเองให้พัฒนาขึ้นทุกๆเดือนเพื่อวิ่งไปจุดสูงสุดของฟุตบอล จนเกิดผลิตผลขึ้นมาซึ่งสามารถสังเกตได้ว่ามีความคิดที่ดีกว่าเดิม หรือเมื่อเจอปัญหาก็มีไหวพริบ แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้

สุขภาพ – การจัดสรรเวลาด้านสุขภาพเป็นสิ่งสำคัญสำหรับทุกคน หากใครมีร่างกายที่อ้วนเกินไปจะเสียสุขภาพได้ ก็ควรมีการปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้นด้วยการควบคุมน้ำหนัก ออกกำลังกายบ้างเพื่อให้น้ำหนักลดลงมา ในทางตรงข้ามถ้าใครมีร่างกายผอมเกินไปก็ควรรับประทานอาหารเพิ่ม เมื่อบริหารเวลาด้านนี้ สุดท้ายก็จะมีสุขภาพร่างกายที่ดี

ครอบครัวและคนรัก – การมีเวลาทำกิจกรรมร่วมกันกับสมาชิกในครอบครัว ไม่ว่าจะเป็น กิจกรรมอาสาสมัคร การร่วมกันนั่งสมาธิหรือกิจกรรมอื่นในทางสร้างสรรค์ ก็จะช่วยให้จิตใจแต่ละสมาชิกมีความสุข สร้างความผูกพันธ์และความอบอุ่นระหว่างสมาชิกในครอบครัวได้เป็นอย่างดี

สังคม – การทำเพื่อสังคมคือ การเสียสละสิ่งของ สละอารมณ์หรืออื่น ๆ ซึ่งคนที่จะบริหารเวลาด้านนี้จะต้องเป็นคนที่เสียสละได้ ในทางตรงข้ามหากเป็นคนที่ไม่ค่อยรู้จักการเสียสละให้กับผู้อื่น ก็จะบริหารเวลาด้านนี้ได้ไม่มากนัก เพราะเมื่อไหร่มีการทำงานที่เกี่ยวข้องกับผู้อื่นเป็นจำนวนมาก ก็จะทำให้เครียด

6 ด้านที่ควรบริหารเวลาเพื่อพัฒนาตัวเอง ถือว่าเป็นการสร้างวินัยในเรื่องของเวลาในการควบคุมว่าอะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ แบบไม่ใช่อยากทำอะไรก็ทำไปเรื่อย ๆ ตามใจ จนดึกดื่นหรือเที่ยงคืน เพราะถ้าเป็นเช่นนี้ก็จะเป็นการใช้เวลาอย่างไม่คุ้มค่า ดังนั้น หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ต้องการประสบความสำเร็จ ลองบริหารเวลาในด้านต่าง ๆ จากที่กล่าวมาข้างต้น แล้วคุณจะพบว่าตัวเองมีความสุขและภูมิใจที่สามารถบริหารเวลาในชีวิตได้อย่างเหมาะสม และมีเวลาเหลือมากกว่าเดิม