Browse Category by บริหารเวลาทำงาน
บริหารเวลาทำงาน

บริหารเวลาชีวิต เทคนิคการทำน้อยแต่ได้มาก

บริหารเวลาชีวิต เทคนิคการทำน้อยแต่ได้มาก

เพราะจะว่าไปแล้ว “เวลา” นั้นก็ถือได้เป็นต้นทุนชีวิตที่สำคัญอย่างหนึ่งทั้งไม่ว่าจะเป็นในมุมของการทำงาน ธุรกิจ หรือการใช้ชีวิต ซึ่งจุดเริ่มต้นที่สำคัญก็คือการบริหารเวลาชีวิตให้ลงตัวเราถึงจะสามารถนำเรื่องนี้ไปใช้ในการบริหารงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด อย่างนั้นแล้วเรามาลองเริ่มดูเทคนิคการบริหารเวลาชีวิตไปกับการทำน้อยแต่ได้มากกัน

ปรับความคิดเรื่องการใช้เวลาใหม่

  • ทำมากไม่ใช่ได้มากเสมอไป อันดับแรกสำหรับการบริหารเวลาชีวิตตามแนวคิดนี้ก็คือการเริ่มปรับความคิดของตัวเองเสียก่อนว่าอะไรที่ยิ่งทำมากก็จะได้มากออกไปก่อน อย่างเช่นการทำงานในจำนวนมาก ๆ ก็จะทำให้ได้รายได้ที่มาก หรือเที่ยวมากก็จะสนุกมากอะไรแบบนั้น เพราะในความเป็นจริงแล้วมันยังมีหลายอย่างที่เราสามารถใช้เวลาน้อยกว่าแต่ให้สิ่งกลับคืนมาที่มากกว่าได้ และสิ่งนั้นจะเกิดขึ้นได้ก็คือการใช้เวลาอย่างมี “คุณภาพ”
  • วิธีการอะไรที่จะนำไปสู่เป้าหมาย เมื่อปรับความคิดได้แล้ว สิ่งที่เราจะต้องมาคิดต่อก็คือการมองหาเป้าหมายของตัวเองให้เจอ ว่า ณ เวลานี้ ชีวิตของเราต้องการอะไร ไม่ว่าจะเป็นความสำเร็จรูปแบบไหนในชีวิต มันจะมีทางอยู่ทางหนึ่งที่ถูกต้อง ใช้เวลาน้อย แต่ให้ผลดีกว่าเสมอ การขยันผิดที่ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นได้มากไปกว่าเวลาที่เราเสียไปเลย ซึ่งนั่นหมายความว่าให้เราลองเอาสิ่งที่ต้องการมาตั้งเป็นเป้าหมายชีวิต แล้วคิดหาวิธีที่จะพาเราไปยังเป้าหมายนั้นให้ได้

การลงมือทำสำคัญที่สุด

  • ทำให้ถูกเรื่องและตรงประเด็นเสมอ ส่วนยากของการบริหารเวลาชีวิตให้เข้ากับแนวคิดนี้ก็คือการทำให้ถูกเรื่องและตรงประเด็น เพราะคนส่วนใหญ่มักจะชอบทำอะไรหลาย ๆ อย่างในเวลาเดียวกัน หรือชอบทำอะไรนอกเรื่อง จนหลุดโฟกัสการเดินหน้าตามเป้าหมายไป สิ่งที่เราต้องทำก็คือการจดจ่อกับการบริหารและใช้เวลา ณ ปัจจุบันให้คุ้มค่ามากที่สุด ง่าย ๆ เลย ยกตัวอย่างเช่นการไปซื้อของใช้ที่ร้านสะดวกซื้อ ระหว่างการเดินเลือกไปเรื่อย ๆ กับการมุ่งไปยังชั้นวางของที่เราอยากจะได้เลย ทางไหนจะได้ของตามที่ต้องการจริงและใช้เวลาน้อยกว่า ก็ให้เลือกทางนั้น
  • แบ่งเวลาให้ชัดและทำให้ได้จริง ข้อสุดท้ายเพื่อให้การบริการเวลาลงตัวที่สุด คือการแบ่งเวลาให้ชัด ระบุไปเลยว่า ณ เวลานี้เราจะทำอะไร ใช้เวลาเท่าไร และจะได้ผลเป็นอะไรออกมา บังคับตัวเองให้ทำให้ได้ตามนั้น แรก ๆ อาจยากหน่อย แต่นานไปแล้วเราจะชินและเริ่มที่จะบริหารเวลาได้เก่งขึ้นเองโดยธรรมชาติ

ด้วยหลักการทำน้อยแต่ให้ผลตอบแทนกลับคืนมาที่มากนี้ จะช่วยให้การบริหารเวลาชีวิตของเราลงตัวมากยิ่งขึ้น ซึ่งเราก็จะสามารถใช้เวลาในการทำสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างเห็นผลแต่ใช้เวลาที่น้อยลง ผลก็คือการได้เวลากลับคืนมาและเราสามารถที่จะใช้เวลานั้นไปกับการทำอะไรได้อีกตั้งหลายอย่าง ขอแค่ตั้งใจที่จะทำจริง ๆ เท่านั้นเอง

บริหารเวลาทำงาน

5 เทคนิคกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ ในวันที่คิดงานไม่ออก

5 เทคนิคกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์

เชื่อว่าหลายคนน่าจะเคยเจอปัญหาสมองตัน คิดงานเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก ซึ่งปัญหานี้นับเป็นปัญหาใหญ่สำหรับคนทำงาน โดยเฉพาะคนทำงานที่ต้องการความคิดสร้างสรรค์ และสำหรับใครที่เจอปัญหานี้บ่อย ๆ แก้เท่าไหร่ก็ไม่หายสักที ลองมาดู 5 วิธีกระตุ้นไอเดียบรรเจิดให้กลับมาอีกครั้ง เชื่อว่าจะทำให้คิดงานออกแถมยังลดความเครียดอีกด้วย

1. ดื่มน้ำเปล่า – วิธีง่าย ๆ ที่หลายคนอาจไม่เชื่อว่าจะช่วยกระตุ้นไอเดียในวันอ่อนล้า นั่นคือ การดื่มน้ำสะอาด เพราะอย่าลืมว่าในร่างกายมีน้ำเป็นองค์ประกอบมากถึง 70 เปอร์เซ็นต์ อีกทั้งน้ำยังช่วยเพิ่มออกซิเจนในเลือดและสมอง การคิดงานจึงลื่นไหล รู้สึกสดชื่น หรือบางคนเลือกดื่มกาแฟอุ่น ๆ สักแก้ว เพราะกลิ่นหอมจากกาแฟช่วยให้สมองผ่อนคลาย คิดงานต่อได้อย่างไม่เครียด

2. จัดลำดับความคิดใหม่ – หลายครั้งไม่ใช่เพราะคิดงานไม่ออก ไอเดียเจ๋ง ๆ จึงไม่เกิด แต่เพราะขาดการจัดระบบความคิด เมื่อระบบความคิดไม่เป็นขั้นตอนจึงทำให้ฟุ้งซ่าน กลายเป็นว่าคิดงานไม่ออกเอาดื้อ ๆ ดังนั้น หากคิดงานไม่ออกแนะนำให้อยู่นิ่ง ๆ สักพัก และจัดระบบความคิดใหม่แบบเป็นขั้นตอน เชื่อว่าวิธีนี้จะช่วยให้ความคิดลื่นไหลขึ้น

3. ท่องโลกอินเทอร์เน็ต – บางครั้งการโฟกัสกับงานมากเกินไปอาจไม่ใช่วิธีที่ดีเท่าไหร่ เมื่อรู้สีกเครียดหรือขาดความคิดสร้างสรรค์จึงให้ลองหันไปท่องโลกอินเทอร์เน็ต อัปเดตข่าวสารน่าสนใจรวมถึงเทรนด์ใหม่ ๆ โดยไม่เจาะจงว่าต้องเป็นเรื่องเกี่ยวกับงานเท่านั้น วิธีนี้อาจทำให้ได้ไอเดียเจ๋ง ๆ ระหว่างท่องโลกโซเชียลก็เป็นได้

4. หันไปทำกิจกรรมอย่างอื่น – ในเมื่อคิดงานไม่ออกก็ไม่จำเป็นต้องเค้นไอเดีย เพราะบางครั้งอาจเกิดความเครียดแบบไม่รู้ตัวทำให้เสียทั้งสุขภาพจิตและสุขภาพร่างกาย เพราะฉะนั้นควรหยุดงานที่ทำและหันไปทำกิจกรรมอย่างอื่น เช่น ฟังเพลงโปรด อ่านหนังสือ หรือหันไปคุยกับเพื่อนร่วมงาน เพื่อให้สมองได้ผ่อนคลายสักระยะ

5. หาเวลาพักผ่อนบ้าง – บางครั้งการเครียดจากงานมากเกินไป รวมถึงทำงานหนักติดต่อกันนาน ๆ คือสาเหตุสำคัญทำให้สมองตันคิดงานไม่ออก จนเป็นสาเหตุให้เกิดความเครียดและโรคต่าง ๆ รุมเร้า เพราะฉะนั้นแม้ว่างานจะสำคัญมากเพียงใด อย่าลืมหาเวลาพักผ่อนบ้าง เพราะสุขภาพคือสิ่งสำคัญที่สุด เมื่อพร้อมแล้วจึงค่อยกลับมาลุยงานใหม่อีกครั้ง

เมื่อมีเทคนิคดี ๆ แบบนี้แล้ว ใครที่ชอบคิดงานไม่ออก สมองตัน หรือขาดไอเดียใหม่ ๆ อย่าลืมทำตามเทคนิคเหล่านี้ที่เชื่อว่าจะช่วยกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ในวันที่เหนื่อยล้าแต่ต้องทำงานให้เสร็จ นอกจากนี้ อย่าลืมให้ความสำคัญกับการพักผ่อนเพราะเมื่อร่างกายพร้อม จิตใจพร้อม พลังในการคิดงานใหม่ ๆ จะมาเรื่อย ๆ อีกทั้งยังช่วยให้ทำงานอย่างไม่เครียดอีกด้วย

บริหารเวลาทำงาน

Remote Work สไตล์การทำงานที่บ้าน

Remote Work

หลังจากเกิดวิกฤตการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโคโรน่าไวรัส – 19 หรือ โควิด – 19 การทำงานตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดแบบ Work from Home (WFH) ด้วยวิธีการทำงานแบบ Remote Work ได้รับความนิยมเพิ่มสูงขึ้น .. Remote Work คือ รูปแบบการทำงานที่ไม่มีข้อจำกัดเรื่องสถานที่ทำงานแต่ต้องมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลเทียบเท่ากับการทำงานในสำนักงาน

ข้อดีของการทำงานแบบ Remote Work

ผู้ปฏิบัติงานมีความยืดหยุ่นในการทำงาน สามารถปรับเวลาการทำงานให้เข้ากับ Life Style การใช้ชีวิตของตัวเองได้ รวมถึงช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายของบริษัทในการจัดเตรียมสถานที่ทำงานให้พนักงานและช่วยให้ผู้ปฏิบัติงานลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางได้

ข้อเสียของการทำงานแบบ remote work

จะอยู่ที่ระเบียบวินัยในการทำงาน การวางแผนการทำงาน ความรับผิดชอบในการทำงานและความรู้ในการใช้งานโปรแกรมที่รองรับการประสานงานของแต่ละบุคคล รวมถึงความสามารถของบริษัทในการพัฒนาระบบงานของบริษัทให้รองรับการปฏิบัติงาน บางครั้งคุณมอบหมายงานอัพเดทข่าวฟุตบอลรายวันให้พนักงาน แต่กว่าพนักงานจะอัพเดทข่าวก็ปาไปบ่ายแล้ว ทำให้เสียโอกาสคนเข้าชมเว็บช่วงเช้า ซึ่งส่งผลเสียในระยะยาวกับเว็บแอพของเราโดยตรง

คุณธเนศ อังคศิริสรรพ ผู้จัดการทั่วไป ประจำภูมิภาคอินโดจีน เลอโนโว ประเทศไทย ในรายการ The Secret Sauce ได้พูดถึง 4 หัวใจในการทำงาน แบบ remote work มีดังนี้

  • เทคโนโลยี เป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่ช่วยให้การทำงานแบบ Remote Work มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากที่สุด โดยเทคโนโลยีที่ คุณธเนศ อังคศิริสรรพ ให้ความสำคัญ ได้แก่ อุปกรณ์ที่ใช้ในการทำงาน, สภาพแวดล้อมในการทำงาน (นอกสถานที่) และการวางแผนการทำงาน
  • ความเชื่อมั่น/เชื่อใจ ปัญหาที่พบได้บ่อยในการทำงานที่บ้าน หรือ Work from Home ในประเทศไทย คือ การที่ผู้บริหารไม่เชื่อใจการทำงานของพนักงาน ทำให้เกิดปัญหาเรื่องการนั่งเฝ้าจอเปิดกล้องเพื่อ VDO Conference ซึ่งปัญหานี้ไม่เพียงแต่จะทำให้พนักงานเกิดความเครียด ซึ่งทำให้ผลการปฏิบัติงานไม่ดี ขาดความสร้างสรรค์ในการทำงาน
  • การสื่อสาร การประสานงานระหว่างคนในทีมเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้การวางแผนการดำเนินงานของพนักงานแต่ละคนเป็นไปอย่างราบรื่นและเกิดประสิทธิภาพ/ประสิทธิผลการทำงาน นอกจากนี้ควรมีช่องทางการติดต่อเร่งด่วนเผื่อเอาไว้อัปเดตข้อมูลการทำงานของเพื่อนร่วมงาน
  • ความเป็นกันเอง แม้ว่าการทำงาน Remote Work จะเป็นการทำงานจากสถานที่ได้ก็ได้แต่ก็ควรมีการพบปะกันอย่างน้อยเดือนละ 1 – 2 ครั้ง โดยในวันที่ต้องพบปะกันควรทำสภาพแวดล้อมการทำงานให้มีความเป็นกันเองมากกว่าที่จะเป็นการประชุมเคร่งเครียดกันทั้งวัน เมื่อสมาชิกในทีมมีความเป็นกันเองจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการสื่อสารกันมีความราบรื่นและจริงใจต่อกันมากขึ้น

ในปัจจุบันมีหลายบริษัทเปิดรับพนักงานที่สามารถทำงานแบบ Remote Work มากขึ้น เพราะเห็นประสิทธิภาพและประสิทธิผลการทำงานของพนักงานในบริษัทในช่วงเวลาที่ผ่านมา ซึ่งใครที่อยากหางานแบบ Remote Work สามารถค้นหาผ่าน Search Engine ด้วยคำว่า “Remote Work” ได้เลย

บริหารเวลาทำงาน

แจกเทคนิคการบริหารเวลา 24 ชั่วโมงใน 1 วันให้ทำทุกอย่างที่อยากทำได้

แจกเทคนิคการบริหารเวลา 24 ชั่วโมงใน 1 วันให้ทำทุกอย่างที่อยากทำได้

หลายคนเคยมีความคิดว่า 24 ชั่วโมงใน 1 วันดูเหมือนจะสั้นไป ไม่พอที่จะทำอะไรที่อยากทำอีกหลายอย่างโดยลืมนึกไปว่าคนเราก็มีเวลา 24 ชั่วโมงเท่ากัน ใครก็ตามที่ยังคิดว่า 24 ชั่วโมงไม่พอที่จะทำกิจกรรมหลาย ๆ อย่าง วันนี้จะมาแจกเทคนิคการบริหารเวลาใน 1 วันให้ได้รู้กันว่าทำอย่างไรถึงจะทำให้เราสามารถทำกิจกรรมทุกอย่างที่อยากทำได้

 

1.ให้เวลากับสิ่งที่มีความสำคัญ หมายถึงเราต้องแบ่งเวลาให้เป็น ไม่ใช่ว่าทุกเรื่องในชีวิตจะสำคัญเท่ากันหมด โดยสามารถฝึกฝนเทคนิคในการบริหารเวลาการทำงานด้วยหลัก 7 Habits of Highly Effective People คือ

 

  • สิ่งที่รีบและสำคัญ คืองานที่มีกำหนดเวลาให้รีบทำทันที เช่น จัดทำรายงานประชุมภายใน 1 ชั่วโมง
  • สิ่งที่ไม่รีบแต่มีความสำคัญ โดยมากจะเป็นสิ่งที่ส่งผลประโยชน์ต่อตัวเองในอนาคต ให้วางแผนในการจัดการ เช่น ออกกำลังกายหลังเลิกงาน
  • สิ่งที่รีบแต่ไม่สำคัญ ส่วนใหญ่จะเป็นสิ่งที่ไม่ส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน ควรจะลดเวลาในการทำให้น้อยที่สุด
  • สิ่งที่ไม่รีบและไม่สำคัญ เช่น การเล่น Facebook หรือการดูทีวี ก็ควรค่อยทำเมื่อว่างจากกิจกรรมประจำวัน

 

หากปฏิบัติได้ตามนี้ถือเป็นการเริ่มต้นในการบริหารเวลาชีวิตให้ดีขึ้นได้

 

2.ให้รู้ว่าเราต้องทำอะไรบ้างในแต่ละวัน เพื่อให้ง่ายที่สุดในการบริหารเวลา 24 ชั่วโมงให้คุ้มค่า เช่น ตื่นนอนเวลา 6 โมงเช้า เวลาในการทำงานคือ 8.00 – 17.00 น. หลังจากเวลางานคือการออกกำลังกายหรือทำกิจกรรมที่ชอบและเข้านอนเวลา 4 ทุ่ม เป็นต้น เมื่อวางแผนได้เช่นนี้แล้ว จะทำให้ได้รู้ว่าจะต้องวางแผนบริหารเวลาอย่างไรในแต่ละช่วงของวันเพื่อให้เวลา 24 ชั่วโมงในวันนั้นคุ้มค่ามากที่สุด

 

3.เวลา 8 ชั่วโมงของการทำงาน คือช่วงเวลาที่สามารถใช้ฝึกฝนในการบริหารเวลาได้ดีที่สุด ซึ่งหากบริหารเวลาการทำงานได้มีประสิทธิภาพมากเท่าไหร่ก็จะมีเวลาเหลือในการใช้ทำกิจกรรมอื่นที่ชื่นชอบได้มากเท่านั้น เทคนิคที่จะช่วยทำให้การบริหารเวลาในการทำงานได้อย่างมีคุณภาพมากที่สุดคือการโฟกัสงานที่ต้องทำ เริ่มจากจัดลำดับความสำคัญของงาน หาวิธีการทำงานที่ช่วยผ่อนแรงทำงาน รวมถึงทำให้งานเสร็จเร็วขึ้น สุดท้ายคือต้องจัดการเวลาเช็ก e-mail อย่างมีคุณภาพด้วยเทคนิคดังนี้

 

  • กำหนดเวลาเช็ก e-mail 
  • จัดเก็บกล่อง e-mail เป็นหมวดหมู่
  • ใช้หลักการ 2 minutes rules คือ (1) e-mail ที่ต้องตอบทันที (2) e-mail ที่สามารถตอบทีหลังได้ และ (3) e-mail ขยะให้ลบทิ้งไป

 

4.การหาตัวช่วยเพื่อลดเวลาในการทำงาน เป็นเคล็ดลับอีกข้อที่ช่วยบริหารเวลาในการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะเป็นการขอคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ การแบ่งงานออกเป็นงานย่อย ๆ หรือหาตัวช่วยอย่าง application ช่วยในการทำงานหรือเครื่องมือที่ช่วยลดเวลาและแรงงานในการทำงานก็ได้ทั้งนั้น นอกจากช่วยลดเวลาทำงานได้แล้ว ยังเป็นการผ่อนแรง รวมถึงทำให้งานเสร็จเร็วขึ้นด้วย

 

5.หาวิธีลดเวลาจากกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การปรับเปลี่ยนการเดินทางจากรถยนต์ส่วนตัวเป็นเดินทางด้วยรถไฟฟ้าเพราะทำให้เดินทางไปถึงที่ทำงานได้เร็วกว่า หรือเวลาพักกลางวันก็ไม่จำเป็นต้องใช้เวลาถึง 1 ชั่วโมงก็ได้ กินข้าวให้เร็วอีกนิดจะได้ใช้เวลาที่เหลือจากเวลาพักไปทำงานช่วงบ่ายให้เสร็จเร็วขึ้น

 

เชื่อได้เลยว่าหากสามารถปฏิบัติตัวได้ตามเทคนิคการบริหารเวลาที่แนะนำข้างต้น รับรองว่าเวลา 24 ชั่วโมงใน 1 วันของเราจะเป็นช่วงเวลาที่คุ้มค่าและมีความหมายในแต่ละวันได้มากทีเดียว

บริหารเวลาทำงาน

แทงบอลออนไลน์ให้ได้กำไร ควรบริหารเวลาให้เป็น

แทงบอลออนไลน์ให้ได้กำไร ควรบริหารเวลาให้เป็น

หากคุณเป็นนักลงทุนออนไลน์มือใหม่ อาจจะยังไม่รู่ว่า ควรเลือกแทงบอลออนไลน์ในช่วงเวลาไหนดีถึงจะทำกำไรได้เป็นกอบเป็นกำ และในวันนี้ก็ได้นำช่วงเวลาการแทงบอลออนไลน์ที่ดีที่สุดมาฝากกัน เพื่อเป็นแนวทางให้นักลงทุนหน้าใหม่หน้าเก่าได้มีความรู้เพิ่มเติม หรือช่วยให้ลดอัตราการเสียเงินไปในตัว

“3 ช่วงเวลาแทงบอลออนไลน์ ทำกำไรได้ดีที่สุด”
ทางทีมงานได้คัดสรรหาช่วงเวลาการแทงบอลออนไลน์ที่ดีที่สุดมาฝาก หากนักลงทุนได้รับรู้เรื่องช่วงเวลาดังกล่าว ก็สามารถไปประยุกต์ใช้ทันที แต่จะมีช่วงเวลาไหนบ้างนั้น มาดูกันเลย

1. ช่วงเวลาก่อนเริ่มแข่งขัน : สำหรับในช่วงเวลาก่อนเริ่มแข่งขันนั้น บอกได้เลยว่า นักลงทุนจะได้รับเรทราคาค่าน้ำที่ดีที่สุด และที่สำคัญยังไม่มีการไหลของเรทราคาค่าน้ำอีกด้วย แล้วยังเป็นเรทราคาค่าน้ำบอลในแบบครึ่งๆ จึงยกให้เป็นการเพิ่มโอกาสให้กับนักลงทุนได้ลุ้นทำกำไรมหาศาลในช่วงเวลา 90 นาทีที่แข่งขัน ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ทำเงินได้มากกว่าช่วงเวลาอื่นๆ

2. ช่วงเวลาระหว่างพักการแข่งขัน : สำหรับช่วงเวลาระหว่างพักการแข่งขั้นนั้น เป็นช่วงเวลาที่นักลงทุนสามารถทำเงินได้มากที่สุดเหมือนกัน เพราะในตอนพักนั้น จะมีเรทราคาค่าน้ำดีรองลงมา หากมีการวิ่งก็จะวิ่งไม่มากนัก ถือว่าเป็นในเรทราคากลางๆ และที่สุดพิเศษไปกว่านั้นนักลงทุนยังสามารถทำการวิเคราะห์บอลได้ด้วย เนื่องจากได้เห็นรูปเกมการเล่นในช่วง 45 นาทีแรก

3. ช่วงเวลาก่อนจบการแข่งขัน 30 นาที : สำหรับในช่วงเวลาก่อนจบการแข่งขัน 30 นาทีนั้น ถือเป็นอีกช่วงที่มีเรทราคาค่าน้ำดี เนื่องจากในช่วงเวลานั้นๆ จะเห็นได้ชัดถึงภาพรวมของการแข่งขันทั้งหมดทั้งทีมที่ตั้งรับและทีมที่บุกเข้าใส่ ทำให้วิเคราะห์ตามเกมได้ง่าย ว่าจะออกมาในรูปแบบไหน เลยเป็นช่วงเวลาที่นักลงทุนสามารถได้รับเรทราคาค่าน้ำแบบก้าวกระโดด

ทุกช่วงเวลาที่กล่าวมาล้วนมีจุดเด่นแตกต่างกันไป หากนักลงทุนต้องการทำผลกำไรต่อวันให้ได้มากที่สุด ควรบริหารจัดการเวลาให้ดีทั้งการใช้ชีวิตประจำวันและการวิเคราะห์บอลให้ถูกหลัก ถ้าสองสิ่งนี้มันบาลานซ์กันก็ทำให้นักลงทุนมีสมาธิในการแทงบอลและมีความแน่วแน่ต่อราคาใดราคานั้นไม่เกิดสภาวะสับสนหรือกังวล สุดท้ายนี้ขอฝากวลีเด็ดๆไว้ให้คิด “อย่าทำอะไรเกินตัว” ควรวางเดิมพันเท่าที่มี ไม่ให้ไปเดือดร้อนใครและควรแบ่งเป็นสัดส่วนไว้ใช้ด้วย

บริหารเวลาทำงาน

เทคนิคบริหารเวลางานให้มีประสิทธิภาพแบบฉบับคนเยอรมัน

เทคนิคบริหารเวลางานให้มีประสิทธิภาพแบบฉบับคนเยอรมัน

การบริหารเวลาอย่างมีประสิทธิภาพถือเป็นหนทางหนึ่งในการดำเนินชีวิตให้ประสบความสำเร็จ เพราะอย่าลืมว่าแต่ละคนมีเวลาเท่ากัน นั่นคือวันละ 24 ชั่วโมง ใครบริหารเวลาได้ดีกว่าถือว่าได้เปรียบ เพราะสามารถจัดการตารางชีวิตได้ดีกว่า โดยเฉพาะด้านการทำงาน เพราะในหนึ่งสัปดาห์ต้องทำงานมากถึง 5 วัน และนอกจากคนประเทศญี่ปุ่นแล้ว คนเยอรมันยังขึ้นชื่อว่าสามารถบริหารเวลาทำงานได้อย่างดีเยี่ยม จนมีชั่วโมงทำงานเพียงวันละ 7 ชั่วโมง โดยไม่ต้องอยู่ทำงานดึกดื่น และยังสามารถลางานได้ครั้งละเป็นเดือนเลยทีเดียว

เทคนิคบริหารเวลาตามแบบฉบับคนเยอรมัน

1. ให้ความสำคัญกับชั่วโมงทำงาน
ไม่เพียงแต่ชาวญี่ปุ่นเท่านั้นที่ให้ความสำคัญเรื่องเวลาโดยเฉพาะในชั่วโมงทำงาน เพราะคนเยอรมันเองก็ให้ความสำคัญเรื่องนี้ไม่แพ้กัน โดยในเวลาทำงานจะโฟกัสไปที่การทำงานอย่างจริงจัง น้อยมากที่จะเสียเวลาไปกับการคุยเรื่องส่วนตัวกับเพื่อนร่วมงาน หรือแม้แต่การเดินไปชงกาแฟ อีกทั้งสไตล์การทำงานของคนเยอรมันจะเน้นการทำงานแบบคนเดียว แต่ละคนมักมีหน้าที่ชัดเจนทำให้ไม่ต้องประชุมงานบ่อย ๆ และยังมองว่าการประชุมบ่อยครั้งเกินไปและนานเกินไปจะทำให้ไม่มีสมาธิจดจ่อต่องานที่ตนเองได้รับมอบหมาย

2. อะไรคือตัวขโมยชั่วโมงทำงานของคุณ
เมื่อใดที่รู้สึกว่าทำงานออกมาได้ไม่เต็มที่ หรือสะสางงานได้น้อยกว่าที่ตั้งเป้าหมายไว้ ชาวเยอรมันมักค้นหาคำตอบว่าอะไรคือสิ่งที่ขโมยเวลาทำงานไป เช่น การหันไปคุยเรื่องส่วนตัวกับเพื่อนร่วมงานนานเกินไป การใช้เวลาไปกับการติดตามโซเชียลมีเดียนานเกินไปโดยไม่รู้ตัว ฯลฯ ซึ่งคนทำงานมืออาชีพจะค้นหาคำตอบโดยการลิสต์สิ่งที่ขโมยเวลาทำงานในแต่ละวันแล้วลดหรือเลิกพฤติกรรมเหล่านั้นเพื่อให้สามารถจัดการงานได้ตามที่ตั้งเป้าเอาไว้

3. แบ่งเวลาสำหรับการพักผ่อน
แม้ชาวเยอรมันจะค่อนข้างให้ความสำคัญกับชั่วโมงทำงาน แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ละเลยเรื่องการสังสรรค์ ปล่อยให้ร่างกายและจิตใจได้พักผ่อนตามโอกาส เรียกได้ว่าเวลาทำงานก็ทำอย่างเต็มที่และเวลาพักผ่อนก็พักผ่อนอย่างเต็มที่เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น การลาพักร้อนติดต่อกันเป็นเวลาหลายสัปดาห์ แต่ยังเป็นประเทศที่เศรษฐกิจแข็งแกร่งประเทศหนึ่งของโลก การนัดพบกลุ่มเพื่อนไลฟ์สไตล์เดียวกัน เช่น การนัดปีนเขาทุกวันเสาร์-อาทิตย์ การนัดปาร์ตี้หลังเลิกงาน เป็นต้น

การบริหารจัดการเวลาได้อย่างดีเยี่ยมโดยเฉพาะในชั่วโมงทำงาน ทำให้ชาวเยอรมันมีชั่วโมงทำงานน้อยกว่าประเทศยักษ์ใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกามากถึง 300 ชั่วโมงต่อปี จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่คนประเทศเยอรมันสามารถลาพักร้อนต่อเนื่องได้ถึง 4-6 สัปดาห์ แต่ยังสามารถจัดการเรื่องงานได้อย่างดีเยี่ยม เพราะฉะนั้นใครที่รู้ตัวว่าตารางชีวิตค่อนข้างยุ่ง อย่าลืมนำเทคนิคบริหารเวลาเหล่านี้ไปใช้เพื่อการบริหารจัดการเวลาชีวิตได้ดียิ่งขึ้น

 

บริหารเวลาทำงาน

เทคนิคบริหารเวลางานให้มีประสิทธิภาพแบบฉบับคนเยอรมัน

เทคนิคบริหารเวลางานให้มีประสิทธิภาพแบบฉบับคนเยอรมัน

การบริหารเวลาอย่างมีประสิทธิภาพถือเป็นหนทางหนึ่งในการดำเนินชีวิตให้ประสบความสำเร็จ เพราะอย่าลืมว่าแต่ละคนมีเวลาเท่ากัน นั่นคือวันละ 24 ชั่วโมง ใครบริหารเวลาได้ดีกว่าถือว่าได้เปรียบ เพราะสามารถจัดการตารางชีวิตได้ดีกว่า โดยเฉพาะด้านการทำงาน เพราะในหนึ่งสัปดาห์ต้องทำงานมากถึง 5 วัน และนอกจากคนประเทศญี่ปุ่นแล้ว คนเยอรมันยังขึ้นชื่อว่าสามารถบริหารเวลาทำงานได้อย่างดีเยี่ยม จนมีชั่วโมงทำงานเพียงวันละ 7 ชั่วโมง โดยไม่ต้องอยู่ทำงานดึกดื่น และยังสามารถลางานได้ครั้งละเป็นเดือนเลยทีเดียว

เทคนิคบริหารเวลาตามแบบฉบับคนเยอรมัน

1. ให้ความสำคัญกับชั่วโมงทำงาน
ไม่เพียงแต่ชาวญี่ปุ่นเท่านั้นที่ให้ความสำคัญเรื่องเวลาโดยเฉพาะในชั่วโมงทำงาน เพราะคนเยอรมันเองก็ให้ความสำคัญเรื่องนี้ไม่แพ้กัน โดยในเวลาทำงานจะโฟกัสไปที่การทำงานอย่างจริงจัง น้อยมากที่จะเสียเวลาไปกับการคุยเรื่องส่วนตัวกับเพื่อนร่วมงาน หรือแม้แต่การเดินไปชงกาแฟ อีกทั้งสไตล์การทำงานของคนเยอรมันจะเน้นการทำงานแบบคนเดียว แต่ละคนมักมีหน้าที่ชัดเจนทำให้ไม่ต้องประชุมงานบ่อย ๆ และยังมองว่าการประชุมบ่อยครั้งเกินไปและนานเกินไปจะทำให้ไม่มีสมาธิจดจ่อต่องานที่ตนเองได้รับมอบหมาย

2. อะไรคือตัวขโมยชั่วโมงทำงานของคุณ
เมื่อใดที่รู้สึกว่าทำงานออกมาได้ไม่เต็มที่ หรือสะสางงานได้น้อยกว่าที่ตั้งเป้าหมายไว้ ชาวเยอรมันมักค้นหาคำตอบว่าอะไรคือสิ่งที่ขโมยเวลาทำงานไป เช่น การหันไปคุยเรื่องส่วนตัวกับเพื่อนร่วมงานนานเกินไป การใช้เวลาไปกับการติดตามโซเชียลมีเดียนานเกินไปโดยไม่รู้ตัว ฯลฯ ซึ่งคนทำงานมืออาชีพจะค้นหาคำตอบโดยการลิสต์สิ่งที่ขโมยเวลาทำงานในแต่ละวันแล้วลดหรือเลิกพฤติกรรมเหล่านั้นเพื่อให้สามารถจัดการงานได้ตามที่ตั้งเป้าเอาไว้

3. แบ่งเวลาสำหรับการพักผ่อน
แม้ชาวเยอรมันจะค่อนข้างให้ความสำคัญกับชั่วโมงทำงาน แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ละเลยเรื่องการสังสรรค์ ปล่อยให้ร่างกายและจิตใจได้พักผ่อนตามโอกาส เรียกได้ว่าเวลาทำงานก็ทำอย่างเต็มที่และเวลาพักผ่อนก็พักผ่อนอย่างเต็มที่เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น การลาพักร้อนติดต่อกันเป็นเวลาหลายสัปดาห์ แต่ยังเป็นประเทศที่เศรษฐกิจแข็งแกร่งประเทศหนึ่งของโลก การนัดพบกลุ่มเพื่อนไลฟ์สไตล์เดียวกัน เช่น การนัดปีนเขาทุกวันเสาร์-อาทิตย์ การนัดปาร์ตี้หลังเลิกงาน เป็นต้น

การบริหารจัดการเวลาได้อย่างดีเยี่ยมโดยเฉพาะในชั่วโมงทำงาน ทำให้ชาวเยอรมันมีชั่วโมงทำงานน้อยกว่าประเทศยักษ์ใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกามากถึง 300 ชั่วโมงต่อปี จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่คนประเทศเยอรมันสามารถลาพักร้อนต่อเนื่องได้ถึง 4-6 สัปดาห์ แต่ยังสามารถจัดการเรื่องงานได้อย่างดีเยี่ยม เพราะฉะนั้นใครที่รู้ตัวว่าตารางชีวิตค่อนข้างยุ่ง อย่าลืมนำเทคนิคบริหารเวลาเหล่านี้ไปใช้เพื่อการบริหารจัดการเวลาชีวิตได้ดียิ่งขึ้น

 

บริหารเวลาทำงาน

ช่วง WFH บริหารเวลาอย่างไรไม่ให้เครียด

ช่วง WFH บริหารเวลาอย่างไรไม่ให้เครียด

Work from home หรือใช้ WFH เป็นคำย่อที่แพร่หลายเป็นที่รู้จักในวงกว้าง พร้อม ๆ กับสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ที่ส่งผลกระทบออกไปในทุก ๆ ด้าน ทั้งเศรษฐกิจ สังคม การศึกษา โดยเฉพาะวิถีการดำรงชีวิตที่เปลี่ยนไปในพริบตา แบบ New Normal หรือชีวิตปกติใหม่ แต่ทั้งหมดทั้งมวลก็เพื่อความปลอดภัยในสุขอนามัยของทุกคน โดยเน้นประเด็นเรื่องการลดความแออัดและการแพร่ระบาด โดยให้ละเว้นการเดินทางในระบบขนส่งสาธารณะให้ได้มากที่สุด ทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชนจึงเลือกที่จะให้มาตรการ WFH หรือ Work from home เพื่อลดความเสี่ยงในการได้รับเชื้อไวรัสโคโรน่านั่นเอง แต่ทว่าหลายคนก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่า Work from home จริง ๆ แล้วเป็นเช่นไร เราจะพาไปทำความรู้จักการ WFH อย่างเหมาะสม ซึ่งจะช่วยเราบริหารเวลาไม่ให้เครียดได้อีกด้วย

สำหรับวิธีการ Work from Home นั้นมีขั้นตอนการปฏิบัติง่าย ๆ ดังนี้

1. เตรียมพร้อมอุปกรณ์การทำงาน เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก USBและ External บรรจุไฟล์เอกสาร ภาพประกอบโครงการต่าง ๆ เบอร์โทรศัพท์ และอุปกรณ์จำเป็นอื่นให้พร้อมสำหรับการเริ่ม Work from Home

2.กำหนดตารางเวลาการทำงาน เหมือนขณะที่ปฏิบัติงานในออฟิศหรือสำนักงาน เช่น เริ่มปฏิบัติงานตั้งแต่ประมาณ 08.30 น. พักกลางวันเวลา 12.00 น. และกลับสู่โหมดปฏิบัติงานเวลา 13.00 น.จนกระทั่งหมดเวลาทำงานหรือเสร็จสิ้นโครงการตามที่วางแผนไว้ ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด เพราะ WFH คือการทำงานแบบเต็มเวลาขณะที่อยู่บ้านนั่นเอง

3. เพื่อลดความตึงเครียดในการใช้สายตาและสมอง ควรจัดสรรเวลาประกอบเมนูมื้อกลางวัน ที่ช่วยให้อิ่มแบบสุขภาพดี หรืออาหารว่างประโยชน์เยอะที่ช่วยบำรุงสมองและสายตาไปพร้อม ๆ กัน เช่น นม น้ำผลไม้ปั่น ฯลฯและที่สำคัญการทำอาหารก็เป็นการทำสมาธิและผ่อนคลายความตึงเครียดลงได้อีกวิธีหนึ่งด้วย

4. การเลือกใช้แอปพลิเคชันทันสมัยในการทำงานร่วมกับทีม เช่น (Zoom, Skype หรือ การประชุมผ่าน VDO Conference หรือโปรแกรม Line เพื่อให้เราสามารถบริหารเวลาในส่วนต่าง ๆ ได้อย่างราบรื่น รวดเร็วต่อเนื่อง ส่งผลให้งานสำเร็จด้วยความสุขใจ

5. การเอาใจใส่ต่อสุขภาพร่างกาย ซึ่งอาจเป็นผลพวงมาจากการหักโหมเร่งงาน ทำให้นั่งนานจนปวดเมื่อย ปวดหลัง เป็นต้น ดังนั้นควรตั้งเวลาปลุกไว้ทุก ๆ 1-2 ชั่วโมงการทำงาน เพื่อการพักออกกำลังกายยืดเส้นยืดสายเบา ๆ ไปเดินเล่นชมนกชมไม้ หรือเอนหลังจิบเครื่องดื่มเย็น ๆ หรือน้ำผลไม้สดเย็นชื่นใจ นอกจากช่วยให้ผ่อนคลายแล้ว การพักผ่อนระหว่างทำงานยังเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานด้วย เช่น สามารถคิดอ่านและตัดสินใจได้ดีขึ้น หรือปิ๊งไอเดียบางอย่างขณะที่พัก เป็นต้น

นอกจากนี้วิธีข้างต้นแล้ว ยังมีเทคนิคในการบริหารเวลาที่น่าสนใจ ช่วยให้งานดี สุขภาพเลิศ โดยคุณสามารถทำได้ง่าย ๆ ด้วยกฎ 20-20-20 เช่น ให้พักสายตาทุก ๆ 20 นาที หันไปมองต้นไม้ใบหญ้าสีเขียว ๆ หรือจุดตัดของขอบฟ้าที่ใดที่หนึ่งในระยะ 20 ฟุต หรือ 6 เมตร โดยประมาณ ภายในเวลา 20 วินาที เพียงเท่านี้ความตึงเครียดของกล้ามเนื้อบริเวณกระบอกตา สมอง ต้นคอ บ่าและไหล่ จะผ่อนคลายลงได้อย่างน่ามหัศจรรย์

บริหารเวลาทำงาน

บริหารเวลาอย่างไรให้ทำงานได้ดีขึ้น

บริหารเวลาอย่างไรให้ทำงานได้ดีขึ้น

การบริหารเวลาให้ดีเป็นคำที่เราทุกคนเคยได้ยินบ่อย ๆ แต่ในทางปฏิบัติแล้วมีคนจำนวนไม่มากนักที่สามารถทำได้จริงในทุกวัน อันที่จริงแล้วเราทุกคนสามารถเริ่มต้นใช้เวลาในทุกวันได้อย่างมีคุณภาพ จากการใส่ใจรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ดังต่อไปนี้

1. ตื่นนอนแต่เช้า
การตื่นนอนแต่เช้าในช่วงเวลา 4:00 น. – 5:00 น. จะทำให้ได้รับออกซิเจนที่บริสุทธิ์ ดีต่อระบบการทำงานของสมองหัวใจ ปอด ยิ่งถ้ามีเวลาเดินออกกำลังกายหรือนั่งสมาธิในตอนเช้าในช่วงเวลาดังกล่าว จะทำให้ได้รับพลังงานที่ดี เสริมพลังใจให้พร้อมต่อการทำงานได้ยาวนาน 10-12 ชั่วโมงต่อวันด้วย

2. นอนหลับในเวลาที่เหมาะสม
เราควรหลับสนิทในช่วง 22:00 น. ถึง 02:00 น. อันเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายหลั่งโกรทฮอร์โมนหรือฮอร์โมนที่ช่วยฟื้นฟูพลังสมองและชะลอความแก่ได้มากที่สุด การนอนหลับสนิทอย่างมีคุณภาพ ส่งผลสำคัญให้อารมณ์แจ่มใสและพลังสมองที่สดชื่น จึงเสริมประสิทธิภาพในการทำงานได้เป็นอย่างดี

3. จดบันทึกสิ่งที่ต้องทำก่อนนอน
การบันทึกสิ่งที่ต้องทำในวันถัดมาตั้งแต่ช่วงก่อนนอนเป็นสิ่งสำคัญ ใช้เวลาเพียงวันละ 10-15 นาทีก่อนนอนทุกคืนบันทึกว่าในวันรุ่งขึ้นมีสิ่งใดที่ต้องทำและเร่งด่วน หรือต้องประสานงานก่อน เมื่อเป็นเช่นนี้ จะทำให้คุณนอนหลับได้สนิท ไม่มีอาการวิตกกังวล เพราะกลัวหลงลืมและเมื่อตื่นเช้าขึ้นมา ก็สามารถทำสิ่งต่าง ๆ ตามแผนการที่บันทึกไว้ได้ในทันที

4. ทำงานอย่างมีสมาธิ
ไม่ควรทำงานหลายอย่างพร้อมกัน หรือมีสิ่งเบี่ยงเบนความสนใจ เพราะจะทำให้มีความผิดพลาดในการทำงานได้ เช่น การคิดเรื่องงานไป พร้อมกับการฟังเพลง หรือรับประทานอาหาร จะทำให้ขาดสมาธิจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ผู้ที่ทำงานต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ ควรอยู่ในห้องเงียบหรืออยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม ไม่มีเสียงดังรบกวนจากคนรอบข้างด้วย

5. ปฏิเสธหากไม่จำเป็น
คนที่ขี้สงสารและเกรงใจ เมื่อมีคนมาขอความช่วยเหลือมาก มักตกปากรับคำโดยที่ลืมไปว่าตัวเองยังมีงานอื่นค้างอยู่อีกมาก ทำให้งานไม่สำเร็จตามเวลา และยังมีเวลาส่วนตัวน้อยลง เมื่อเป็นเช่นนี้จะทำให้ตารางการบริหารเวลางานของคุณรวน ไม่เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้บ่อย ๆ วิธีแก้ไขปัญหานี้ คือ การปฏิเสธความช่วยเหลือจากคนอื่นบ้างหากคุณยังมีสิ่งที่ต้องทำอยู่

เทคนิคการบริหารเวลาตามที่กล่าวมานั้น เริ่มมาจากความพร้อมของพลังสมองและพลังใจของตัวคุณเอง ร่วมกับการบริหารจัดการเวลาอย่างมีวินัยตลอดทั้งวัน จะทำให้คุณมีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น และมีประสิทธิภาพการทำงานที่สูงขึ้นอย่างแน่นอน ทีนี้คุณก็จะมีเวลาว่างเหลือเพื่อเพลิดเพลินกับโปรแกรมบอลพรุ่งนี้ได้อย่างเต็มที่และสบายใจ

บริหารเวลาทำงาน

5 เทคนิค บริหารเวลาอย่างมืออาชีพ นำทีมสำเร็จได้

5 เทคนิค บริหารเวลาอย่างมืออาชีพ นำทีมสำเร็จได้

24 ชั่วโมง คือเวลาบนเข็มนาฬิกาชีวิตที่ทุกคนได้รับอย่างเท่าเทียมกันในแต่ละวัน แต่ทำไมหลายคนถึงชอบพูดว่า ไม่มีเวลา นั่นเพราะเขาอาจไม่ได้ใช้การบริหารเวลาอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อตนเองและหน้าที่การงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องทำงานเป็นทีม ดังนั้นวันนี้เราจึงมี 5 เทคนิคการบริหารเวลาอย่างมืออาชีพ เพื่อนำทีมไปสู่ความสำเร็จมาฝากกัน

การบริหารเวลาที่ดี คือการวางแผนจัดการภารกิจในชีวิตและหน้าที่การงานให้สำเร็จลุล่วงโดยไม่ต้องใช้เวลามากนัก แต่ได้รับผลสัมฤทธิ์อย่างสูง ดังนั้นการบริหารเวลาจึงสำคัญอย่างยิ่งต่อการทำงานที่ต้องสื่อสารกับคนจำนวนมาก ในเวลาที่จำกัด และทำงานภายใต้สภาวะกดดัน จากความตึงเครียด และความคาดหวังสูง เช่น ฝ่ายขาย ทีมการตลาดและทีมประชาสัมพันธ์ ซึ่งมีเทคนิคน่าสนใจดังนี้

1.เริ่มต้นการวางแผนงานให้ดี ตรงตามนโยบาย ของบริษัทฯ ดังคำกล่าวที่ว่า “สายน้ำไม่คอยท่า เวลาไม่คอยใคร” การไปถึงที่ทำงานแต่เช้า จะช่วยให้มีสมาธิและมีไอเดียใหม่ ๆ เกิดขึ้น การเริ่มต้นทำงานอย่างเป็นขั้นตอนตามที่วางแผนไว้ ก็จะราบรื่น รวดเร็วและช่วยให้มองเห็นจุดเด่น จุดด้อยของทีมและการทำงานในแต่ละขั้นตอน ตลอดจนสามารถกำหนดขอบเขตการทำงานและเช็คความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสม และเมื่อเกิดปัญหาก็สามารถแก้ไขได้อย่างรวดเร็วทันท่วงที

2.จัดลำดับความสำคัญ ของการทำงานและเนื้อหาที่จะนำเสนอให้ถูกต้องเหมาะสม เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อน และให้ได้ผลงานตรงตามเป้าหมาย ภายในระยะเวลาที่กำหนด และการจัดโต๊ะทำงานให้เป็นระเบียบ ก็เป็นองค์ประกอบสำคัญอย่างหนึ่งที่ช่วยเราบริหารเวลาในการทำงานได้อย่างลงตัว

3.เลือกคนทำงานให้ตรงกับงานที่ทำ หรือที่นิยมกล่าวกันว่า put the right man on the right jobs เพื่อให้ลูกทีมใช้ศักยภาพได้อย่างเต็มที่ ทำงานสำเร็จตามเป้าหมาย และไม่เสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์

4.แบ่งงานออกเป็นส่วน ๆ กระจายหน้าที่กันทำ เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ที่สำคัญควรแบ่งเวลาสำหรับการทำกิจกรรมสันทนาการในทีมอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง พร้อมทั้งตรวจเช็คประสิทธิภาพในการทำงานตามที่ได้รับมอบหมาย เพื่อลดความตึงเครียด ไปพร้อม ๆ กับการปลูกฝังมิตรภาพขึ้นในทีม

5.ใช้เทคโนโลยีการสื่อสาร เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ อีเมล แอปพลิเคชัน มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้งานสำเร็จได้อย่างรวดเร็วและประหยัดเวลาในการทำงาน ข้อสำคัญห้ามผัดวันประกันพรุ่งโดยเด็ดขาด เพราะจะทำให้เกิดความล่าช้าและบั่นทอนกำลังใจของคนทำงาน อีกทั้งทำให้เสียเวลาและโอกาสไปโดยไม่รู้ตัว

มีคำกล่าวที่ว่า “เริ่มต้นที่ดี มีชัยไปกว่าครึ่ง” เพราะในแต่ละวันที่เราเริ่มต้นทำงานด้วยจิตใจที่เบิกบาน รอยยิ้มที่แจ่มใส และมีเป้าหมายของความสำเร็จเป็นที่ตั้ง หัวใจเราจะพองโตด้วยความสุขและภาคภูมิใจ หากบริหารเวลาได้อย่างมืออาชีพแล้ว จะสามารถทำสิ่งต่าง ๆ ได้สำเร็จตามแผนงานที่วางไว้อย่างแน่นอน